บทความนี้เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เกี่ยวกับการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ด้วยตัวเอง ผ่านระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล (DBD Biz Regist) แบ่งเป็น 3 Step หลักๆ ตั้งแต่สมัครใช้งาน กรอกข้อมูลบริษัท ทำเอกสาร แล้วก็เช็กทุกอย่างให้เป๊ะก่อนกดยื่น ระบบใหม่อัปเกรดมาดีมาก ทำให้ทุกขั้นตอนเร็วขึ้น ง่ายขึ้น ไม่ต้องง้อใครก็เปิดบริษัทเองได้แบบชิลๆ
ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทด้วยตัวเอง ผ่านระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล DBD Biz Regist
หลายคนอาจเคยคิดว่าการ จดทะเบียนบริษัท เป็นเรื่องยุ่งยาก เต็มไปด้วยขั้นตอนและเอกสารมากมายใช่ไหมคะ? ต้องไปยื่นเรื่องที่สำนักงาน ต้องมีความรู้ทางกฎหมาย ต้องรอคิวนาน ฯลฯ ซึ่งฟังดูเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ
แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ! ตอนนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ได้เปิดให้บริการ DBD Biz Regist — ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็วยิ่งกว่าที่เคย เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถ จดบริษัทด้วยตัวเองผ่านระบบดิจิทัล ได้โดยไม่ต้องง้อมืออาชีพ
สมัครสมาชิก DBD Biz Regist ใช้ Digital ID หรือแอป ThaiD ก็ได้
ก่อนจะเริ่ม จดทะเบียนบริษัทออนไลน์ผ่าน DBD Biz Regist สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “สมัครสมาชิก” ค่ะ ซึ่งฟังดูอาจจะน่าเบื่อในหัว แต่ความจริงคือ…มันเร็วมาก! โดยเฉพาะถ้าใช้ Digital ID หรือแอป ThaiD คุณไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำๆ ให้ยุ่งยากเลยค่ะ
วิธีสมัครสมาชิก DBD Biz Regist
- เข้าไปที่เว็บไซต์: https://edbr.dbd.go.th/
- กด “เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิกผ่าน Digital ID”
- เลือกเข้าสู่ระบบด้วย Digital ID หรือแอป ThaiD — วิธีนี้สะดวกและเร็วที่สุด
- ระบบจะแสดง QR Code บนหน้าจอ
- เปิดแอป ThaiD บนมือถือ แล้วสแกน QR
- ยืนยันตัวตน กดยินยอม > ใส่รหัสผ่าน > อ่านเงื่อนไข > ติ๊กยอมรับ > ดำเนินการต่อ

แค่นี้คุณก็ Login และพร้อมใช้งานได้ทันที ไม่ต้องสมัครใหม่ ไม่ต้องกรอกข้อมูลให้เมื่อยนิ้ว
เลือกประเภทสมาชิก
การเลือกประเภทสมาชิกค่ะ จะมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ ผู้แทนจดทะเบียน และผู้รับรองรายมือชื่อ หากคุณต้องการ จดทะเบียนบริษัทด้วยตัวเอง ให้เลือกประเภท “ผู้แทนจดทะเบียน” จากนั้นกด “ดำเนินการต่อ” ก็พร้อมเข้าสู่หน้าหลักของระบบได้เลย

สร้างคำขอจดทะเบียน
ไปที่เมนู สร้างคำขอจดทะเบียน เลือก จัดตั้งบริษัทจำกัด ถ้าคุณยังไม่เคยจดบริคณห์สนธิ แนะนำให้เลือก “จดหนังสือบริคณห์สนธิพร้อมจัดตั้งบริษัท” เพื่อให้ระบบดำเนินการทุกอย่างจบในครั้งเดียว ไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำในภายหลัง

💡 หนังสือบริคณห์สนธิ คืออะไร? พูดง่าย ๆ ก็คือ “ข้อตกลงเบื้องต้น” ของผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ซึ่งระบุรายละเอียดสำคัญ เช่น ชื่อบริษัท, วัตถุประสงค์ของกิจการ, จำนวนหุ้นและมูลค่าหุ้น, โครงสร้างผู้ถือหุ้น ฯลฯ
หลังจากเลือกประเภทการจดทะเบียนแล้ว ระบบจะขึ้นหน้าต่างอัตโนมัติ แจ้ง รายการข้อมูลที่จำเป็นต้องเตรียม เพื่อใช้กรอกในคำขอจัดตั้งนิติบุคคล

กรอกข้อมูล และยื่นคำขอผ่าน e-Form
เมื่อคุณเลือก “จดหนังสือบริคณห์สนธิพร้อมจัดตั้งบริษัท” แล้ว ต่อไป คือกระบวนการกรอกข้อมูลในระบบ DBD Biz Regist ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
ระบุข้อมูลบริษัท
- ชื่อบริษัท (ภาษาไทยและอังกฤษ)
💡 ก่อนเริ่มจดทะเบียนบริษัท เช็กก่อนว่า จองชื่อแล้วหรือยัง?
ถ้ายังไม่ได้จองชื่อ ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะระบบ DBD Biz Regist อนุญาตให้ จองชื่อพร้อมกับยื่นจดทะเบียนได้เลยในครั้งเดียว ไม่เสียเวลาข้ามระบบไปมาหลายรอบ หรือถ้าอยากได้ชื่อบริษัทที่เป๊ะๆ ปังๆ แนะนำให้ จองชื่อไว้ล่วงหน้า ผ่านเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าค่ะ https://reserve.dbd.go.th/
ตอนยื่นคำขอจดทะเบียนบริษัท ถ้าเคยจองชื่อไว้แล้ว ให้เลือก “จองชื่อแล้ว” แล้วกรอกเลขที่ใบจองได้เลย แต่ถ้ายังไม่เคยจอง เลือก “ยังไม่ได้จองชื่อ” ระบบจะให้จองพร้อมกับยื่นคำขอไปในคราวเดียวค่ะ

- ตราประทับบริษัท (ถ้ามี)
ตราประทับบริษัท ไม่ได้เป็นสิ่งที่กฎหมายบังคับ คุณสามารถเลือกได้ว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่มีผลต่อการยื่นจดทะเบียน แต่ถ้าคุณ มีตราประทับแล้ว ติ๊ก “มี” แล้ว อัปโหลดรูปตราประทับ ลงในระบบได้เลย

- ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้น
💡 ทุนจดทะเบียน คืออะไร? เลือกยังไงให้ดูดี น่าเชื่อถือ และไม่พลาดเรื่องภาษทุนจดทะเบียน (Registered Capital) คือ จำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นตกลงกันว่าจะลงทุนในบริษัท โดยแบ่งเป็น “หุ้น” และกำหนด “มูลค่าหุ้น” ต่อหน่วย แต่ไม่จำเป็นต้องโอนเข้าบัญชีทันที (แค่เป็นยอดที่แสดงไว้ในเอกสาร)
ทุนจดทะเบียนที่กฎหมายไว้ มูลค่าหุ้นต้อง ไม่น้อยกว่าหุ้นละ 5 บาท ต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป
ตัวอย่าง : หากคุณต้องการจดทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท และเลือกมูลค่าหุ้นละ 10 บาท จะได้ทั้งหมด 100,000 หุ้น
*หากคุณใส่ตัวเลขในระบบผิด เช่น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ระบบจะไม่ให้ดำเนินการต่อ

ถึงแม้กฎหมายจะไม่ได้กำหนด “ขั้นต่ำ” ของทุนจดทะเบียนที่แน่ชัด (นอกจากมูลค่าหุ้นที่ต้อง ≥ 5 บาท) แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท เพราะว่า
- ดูน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้า/ธนาคาร
- มีผลต่อการขอสินเชื่อ/เข้าร่วมงานประมูล
- เพียงพอสำหรับแสดงศักยภาพธุรกิจ
ถ้าทุนจดทะเบียนน้อยกว่า 5 ล้านบาท คุณจะได้สิทธิประโยชน์ในฐานะ “กิจการขนาดเล็ก (SMEs)” ตามเงื่อนไขของสรรพากร
| รายได้สุทธิ (กำไร) | อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล |
|---|---|
| 0 – 300,000 บาทแรก | ยกเว้นภาษี 100% |
| 300,001 – 3,000,000 บาท | เสียภาษี 15% |
| มากกว่า 3,000,000 บาท | เสียภาษี 20% |
ถ้าทุนจดทะเบียนมากกว่า 5 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% ตั้งแต่บาทแรกของกำไร
เคล็ดลับการเลือกทุนจดทะเบียน : ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น แนะนำเริ่มที่ 1 ล้านบาท เพื่อความสมดุล และคิดเผื่อแผนธุรกิจในอนาคต (ต้องการขอสินเชื่อ? ร่วมงานภาครัฐ?) ถ้าหากทุนเยอะไปก็ไม่คุ้มภาษี ถ้าธุรกิจยังไม่สร้างกำไร
- ที่ตั้งสำนักงาน พร้อมข้อมูลติดต่อ
ที่ตั้งของบริษัทต้องเป็น สถานที่ประกอบกิจการหลัก ของบริษัท โดยควรเป็นที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้จริง และควรมีหลักฐาน เช่น ทะเบียนบ้าน หรือสัญญาเช่า

ระบบจะให้กรอก: รหัสประจำบ้าน (ดูได้จากทะเบียนบ้าน) / บ้านเลขที่ / หมู่ที่ / ถนน / ตำบล / อำเภอ / จังหวัด / รหัสไปรษณีย์ ต้องกรอกทั้ง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้ครบถ้วน
กรอกข้อมูลเพิ่มเติม : เบอร์โทรศัพท์ / อีเมลของบริษัท
💡 สำคัญ!! อีเมลที่กรอกในขั้นตอนนี้จะใช้เป็นช่องทางหลักสำหรับรับเอกสารจากระบบ E-filing เช่น งบการเงินจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
หลังจากกรอกข้อมูลครบถ้วน ระบบจะส่ง PIN Code ไปยังอีเมลที่ระบุไว้ ให้เปิดอีเมลและนำรหัส PIN มากรอกในระบบ เพื่อยืนยันตัวตนอีกครั้ง
หลังจากนั้นระบบจะมี Pop-up ขึ้นมาถามว่า “ต้องการเพิ่มที่ตั้งสาขาหรือไม่?”
หากบริษัทมีหลายที่ตั้ง หรือมีสำนักงานสาขา เลือก “ต้องการ” แล้วกรอกข้อมูลสถานที่สาขาเพิ่มเติม หรือหากยังไม่มีสาขา เลือก “ไม่ต้องการ” แล้วไปยังขั้นตอนถัดไปได้เลยค่ะ
เพิ่มข้อมูลบุคคลในบริษัท
- ผู้เริ่มก่อการ
“สร้างรายชื่อผู้เริ่มก่อการ”

“กรอกข้อมูลผู้เริ่มก่อการ”

“กรอกข้อมูลติดต่อ และที่อยู่”

ข้อมูลผู้เริ่มก่อการที่ต้องกรอก: เลขบัตรประชาชน + รหัสหลังบัตร (หรือพาสปอร์ตกรณีต่างชาติ) / ชื่อ-นามสกุล / วัน/เดือน/ปีเกิด / อาชีพ ส่วนของชื่อภาษาอักกฤษ ระบบจะดึงข้อมูลอัตโนมัติจากฐานข้อมูลกรมการปกครอง เช่น ที่อยู่ และชื่อภาษาอังกฤษ และบางส่วนเราต้องกรอกเพิ่มเอง
เพิ่มผู้เริ่มก่อการคนถัดไป หากเป็นคนต่างชาติ ระบบถามว่าจะเปลี่ยนเป็นบุคคลสัญชาติอื่นไหม กด “ใช่” แล้วกรอกข้อมูลเพิ่ม เช่น พาสปอร์ต, สัญชาติ, DOB ฯลฯ
ตามกฎหมายต้องมีผู้เริ่มก่อการอย่างน้อย 2 คน
💡 หากมีข้อสงสัยตรงไหน กดที่เครื่องหมาย “?” จะมีคำอธิบายขึ้นมาให้
- ผู้ถือหุ้น และสัดส่วนการถือหุ้น
กรอกรายละเอียดของผู้ถือหุ้น แต่ละราย ได้แก่ จำนวนหุ้นที่แต่ละคนถือ / มูลค่าหุ้น (ต่อหุ้น) / จำนวนเงินที่ชำระแล้ว

💡 ผู้ถือหุ้น ไม่จำเป็นต้องเป็น ผู้เริ่มก่อการ ก็ได้ คุณสามารถเพิ่มรายชื่อผู้ถือหุ้นคนใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้เริ่มก่อการได้เช่นกัน
ความแตกต่างระหว่าง “ผู้เริ่มก่อการ” และ “ผู้ถือหุ้น”
| ประเภท | ความหมาย | หมายเหตุ |
|---|---|---|
| ผู้เริ่มก่อการ | บุคคลที่ร่วมกันยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท | ต้องมี อย่างน้อย 2 คน ตามกฎหมาย |
| ผู้ถือหุ้น | บุคคลที่ถือหุ้นในบริษัทหลังจากจดทะเบียนเสร็จ | สามารถเพิ่มมากกว่า 2 คน และไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เริ่มก่อการ |
โดยทั่วไป ผู้เริ่มก่อการและผู้ถือหุ้นมักเป็นคนเดียวกัน แต่ในเชิงกฎหมายจะใช้คำว่า “ผู้เริ่มก่อการ” จนกว่านิติบุคคลจะเกิดขึ้น
ข้อควรระวัง
- ต้องชำระค่าหุ้น อย่างน้อย 25% ของทุนจดทะเบียน (ทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท ต้องชำระอย่างน้อย 250,000 บาท)
- ยอดรวมของเงินที่ “ชำระแล้ว” จากผู้ถือหุ้นทั้งหมด ต้องไม่เกิน ทุนจดทะเบียน (ทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท รวมเงินที่ชำระแล้วต้องไม่เกิน 1,000,000 บาท)
- กรรมการบริษัท และอำนาจกรรมการ
กรรมการของบริษัท สามารถเป็น ผู้ถือหุ้นของบริษัท หรือ บุคคลภายนอก ที่ไม่ได้ถือหุ้นก็ได้ หากแต่งตั้งกรรมการจากรายชื่อ ผู้ถือหุ้นที่เคยกรอกไว้แล้ว ระบบสามารถ ดึงข้อมูลเดิม มาใช้ได้ทันที ไม่ต้องกรอกใหม่ หากแต่งตั้ง บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้น เป็นกรรมการ ต้องกรอก ข้อมูลส่วนบุคคล เพิ่มเติม เช่น ชื่อ-สกุล, เลขบัตรประชาชน, ที่อยู่ ฯลฯ


“อำนาจกรรมการ” หมายถึง สิทธิในการลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทในนามนิติบุคคล
สามารถกำหนดรูปแบบการลงนามได้ตามที่ต้องการ
ผู้จดทะเบียนสามารถกำหนดได้ตามความเหมาะสมกับโครงสร้างของบริษัท เช่น ให้ “กรรมการคนใดคนหนึ่งลงลายมือชื่อ” ก็เพียงพอ หรือระบุให้ “กรรมการทุกคนต้องลงชื่อร่วมกัน” เพื่อความรัดกุมในการตัดสินใจ

สร้างเอกสารประกอบ
- ระบุ วัตถุประสงค์บริษัท (สามารถเลือกจากรายการสำเร็จรูปได้)
ระบุวัตถุประสงค์ของบริษัท เพื่อกำหนดลักษณะธุรกิจที่บริษัทจะดำเนินการ หากบริษัท ไม่ได้ประกอบธุรกิจเฉพาะที่อยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมเป็นพิเศษ เช่น ธุรกิจหลักทรัพย์, ธุรกิจข้อมูลบัตรเครดิต, ธุรกิจนายหน้าประกันภัย, ธุรกิจขายตรง หรือธุรกิจตลาดแบบตรง, ธุรกิจสินเชื่อภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ฯลฯ
ให้เลือกประเภทธุรกิจเป็น: “ไม่ใช่ธุรกิจพิเศษ”

💡 หากบริษัทของคุณจะประกอบธุรกิจพิเศษตามที่กฎหมายกำหนด อาจต้อง ขอใบอนุญาตหรือได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน
หลังจากเลือกประเภทธุรกิจแล้ว ระบบจะนำเสนอ “วัตถุประสงค์สำเร็จรูป” ให้เลือกใช้งานได้ทันที
วัตถุประสงค์ทั่วไป เป็นวัตถุประสงค์พื้นฐานที่ ทุกนิติบุคคลต้องมี ระบบจะเพิ่มให้อัตโนมัติเป็นค่าเริ่มต้น ไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้
วัตถุประสงค์เพิ่มเติม ให้เลือกจากรายการวัตถุประสงค์สำเร็จรูปที่ระบบมีให้ ควรเลือกให้ ตรงกับลักษณะธุรกิจจริงของบริษัท
หากไม่มีวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ สามารถ เพิ่มวัตถุประสงค์ใหม่ที่กำหนดเอง ได้ตามต้องการ ควรเขียนให้ชัดเจน ครอบคลุม และสอดคล้องกับธุรกิจที่จะดำเนินการจริง

💡Tip การใส่วัตถุประสงค์ให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้น จะช่วยลดปัญหาการต้องจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมภายหลัง
การระบุ “วัตถุประสงค์หลัก” ของบริษัท จากวัตถุประสงค์ทั้งหมดที่คุณเลือกไว้ ให้ เลือกเพียง 1 ข้อเท่านั้น ที่เป็นวัตถุประสงค์ แท้จริงหลัก ของบริษัท นี่คือวัตถุประสงค์ที่จะใช้สำหรับระบุในทะเบียนนิติบุคคล และเป็นฐานในการจัดกลุ่มประเภทกิจการ
การเลือกรหัสธุรกิจ หลังเลือกวัตถุประสงค์หลักแล้ว ระบบจะให้คุณ เลือกรหัสธุรกิจ (รหัสกิจกรรม) ที่ ตรงกับวัตถุประสงค์หลัก มากที่สุด โดยอ้างอิงจากตารางหมวดหมู่ธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD)

- สร้าง ข้อบังคับของบริษัท
โดยทั่วไปแล้ว บริษัทที่จดทะเบียนใหม่ จะใช้ข้อบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นหลัก ซึ่งครอบคลุมทุกเรื่องพื้นฐานที่บริษัทจำเป็นต้องใช้ เช่น การจัดประชุม การแต่งตั้งกรรมการ การออกหุ้น ฯลฯ
ถ้า ไม่มีข้อบังคับพิเศษ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ระบบจะใช้ข้อบังคับตามกฎหมายอัตโนมัติถ้า มีข้อบังคับพิเศษของบริษัทเอง ให้ ติ๊กเลือก “มีข้อบังคับ” แล้วกรอกรายละเอียดหรือแนบเอกสารที่ต้องการเพิ่มเติมได้เลย

- กรอกรายละเอียด การประชุมจัดตั้งบริษัท
สิ่งที่ต้องระบุในขั้นตอนสุดท้ายก่อนจดทะเบียนบริษัท การประชุมจัดตั้งบริษัท
วันและเวลาเปิด/ปิดการประชุมผู้จัดตั้ง
- วันประชุม: ต้องระบุวันที่จัดประชุมผู้เริ่มก่อการเพื่ออนุมัติจัดตั้งบริษัท
- เวลาเปิดประชุม: เช่น 10:00 น.
- เวลาปิดประชุม: เช่น 10:30 น.
สถานที่ประชุม : ระบุสถานที่ชัดเจน เช่น ห้องประชุม A ชั้น 2 อาคารสำนักงานเลขที่ 123 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
ข้อมูลประธานที่ประชุม เช่น ชื่อ-สกุล (ตรงกับผู้เริ่มก่อการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน), เลขบัตรประชาชน, ที่อยู่ตามบัตรประชาชน
ค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท เป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้เริ่มก่อการจ่ายล่วงหน้า และขอเบิกคืนจากบริษัทภายหลังจดทะเบียนแล้ว มีค่าใช้จ่ายอยู่ราวๆ 6,000 – 7,000 บาท ให้ใส่ลงไปในส่วนนี้ได้เลย
ในส่วนของผู้สอบบัญชี หากบริษัทมีผู้สอบบัญชีแล้ว สามารถกรอกชื่อได้ทันที แต่หากยังไม่ได้แต่งตั้ง ก็สามารถเลือกกำหนดในการประชุมครั้งถัดไปได้ ระบบรองรับการกรอกข้อมูลภายหลัง ช่วยให้ขั้นตอนยืดหยุ่น ไม่ต้องใส่ข้อมูลที่ยังไม่พร้อม

ข้อมูลการประกอบธุรกิจ
ขั้นตอนนี้ ระบบจะสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่อาจต้องประกาศให้ประชาชนทราบ หากไม่มีเรื่องใดเพิ่มเติมสามารถข้ามขั้นตอนไปได้ทันที แต่หากมีเรื่องที่ต้องแจ้ง เช่น เงื่อนไขพิเศษหรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ก็สามารถกรอกเพิ่มได้ตามความจำเป็น

ถ้ามีเอกสารเพิ่มเติมที่ต้องแนบ เช่น กรณีผู้ถือหุ้นเป็นคนต่างชาติ จำเป็นต้องอัปโหลดหนังสือรับรองเงินฝากธนาคารของผู้ถือหุ้นคนไทยทุกคน สามารถอัปโหลดไฟล์ในขั้นตอนนี้ได้เลย แต่ถ้าไม่มีเอกสารเพิ่มเติม ก็แค่กดดำเนินการต่อไปได้ทันที ไม่มีปัญหาอะไร

สรุปข้อมูลและยื่นคำขอ
ในขั้นตอนสุดท้าย หลังกรอกข้อมูลครบ ระบบจะพาเราไปที่เมนูสรุปข้อมูล เพื่อให้ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดที่กรอกไว้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผู้ขอจดทะเบียน กรรมการ เอกสารแนบ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อมั่นใจแล้วก็สามารถพิมพ์หรือดาวน์โหลดเอกสารเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ จากนั้นติ๊กถูกที่ช่อง “ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบทั้งหมดแล้ว” แล้วกดดำเนินการยื่นคำขอ

คำขอจะถูกส่งไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อรอตรวจสอบ ถ้าไม่มีปัญหาใดๆ คำขอจะได้รับการจดทะเบียนตามลำดับ และสถานะคำขอจะเปลี่ยนเป็น “รอการพิจารณา” จากนั้นก็แค่รอการอนุมัติต่อไป

ถ้าถึงขั้นตอนนี้แล้วยังรู้สึกว่าการจดทะเบียนบริษัทด้วยตัวเองมันยังงง ๆ หรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม ไม่ต้องห่วง! Regis Channel พร้อมช่วยจัดการเรื่องนี้ให้คุณแบบครบวงจร

